วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

#สัปดาห์ที่6 : นักวิจัยพัฒนาแบตเตอรี่โซเดียมหวังใช้แทนลิเธียมที่มีราคาแพงกว่า


นักวิจัยจาก Stanford พัฒนาแบตเตอรี่ที่ทำจากโซเดียมหวังใช้ทดแทน Lithium ซึ่งนิยมใช้ในปัจจุบัน
Zhenan Bao นักวิศวกรเคมี และทีมวิทยาศาสตร์ด้านวัสดุศาสตร์อีก2ท่าน คือ Yi Cui และ William Chueh ไม่ใช่เป็นนักวิจัยชุดแรกที่ต้องการจะทำแหล่งพลังงานจากโซเดียม แต่เขาเชื่อว่ามันเป็นไปได้ที่จะทำ และหากทำได้จะลดต้นทุนการผลิตถึง80% เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ที่ทำจาก Lithium ขนาดความจุเท่ากัน
นักวิจัยได้ใช้โซเดียมทำเป็นขั้วแคโทดโดยเป็นขั้วที่ส่งผ่านอิเล็กตรอนไปยังขั้วแอโนด เพราะโซเดียมเพีรียวๆจะมีขั้วเป็นบวก ซึ่งหมายถึงมันสูญเสียอิเล็กตรอนได้ง่าย
สำหรับตัวต้นแบบนั้น Min Ah lee นักวิจัยอีกท่านได้พัฒนาโซเดียมและสาร Myo-inositol (เป็นสารประกอบชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยหมู่ไฮดรอกซิล6หมู่) โดยช่วยให้อิเล็กตรอนไหลได้ดียิ่งขึ้น
วิธีหนึ่งที่ใช้ในการเปรียบเทียบว่าแบตเตอรี่ที่ใช้โซเดียมนั้นดีีกว่าลิเธียมไม่นั้น ดูจากความหนาแน่นของพลังงานเชิงปริมาตรหรือเทียบง่ายๆว่าต้องสร้างแบตเตอรี่โซเดียมกี่เซลล์ถึงจะเก็บพลังงานได้เท่ากับแบตเตอรี่ที่ทำจากลิเธียม (นอกจากนี้ยังดูจาก Life Cycleในการชาร์จแบตเตอรี่ด้วยว่าได้กี่รอบ หรืออายุใช้งานนานเท่าใด)
ที่มา: https://www.thaiphysicsteacher.com
ความคิดเห็น : เป็นความคิดที่ดีเพราะเป็นการลดต้นทุนในการผลิต


#สัปดาห์ที่5 : อย.เตือนครีมปรอทผิวขาวอันตรายเผยเป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง หญิงตั้งครรภ์ใช้อาจทำให้ทารกพิการ

เมื่อวันที่ 28 ก.ย. ภก.ประพนธ์ อางตระกูล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) และโฆษกสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) กล่าวถึงกรณีที่ เพจ “แหม่มโพธิ์ดำ” เปิดเผยว่ามีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ “ครีมปรอท” ครีมช่วยผิวขาว โดยติดฉลากชัดเจนไม่หวาดกลัวกฎหมาย จนมีผู้มาแสดงความคิดเห็นว่า มีคนเชื่อไปซื้อมาใช้ ว่า กรณีนี้หากมีการติดฉลากบนตัวผลิตภัณฑ์ชัดเจนถือว่าผิด พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2558 แน่นอน เนื่องจากสารปรอท เป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง หากตรวจพบถือว่าเป็นเครื่องสำอางไม่ปลอดภัยในการใช้ และหากผู้ขายผู้ผลิตผู้นำเข้าละเมิด ย่อมมีความผิดหมด โดยหากพบว่ามีการละเมิดและผลิตหรือนำเข้ามาจะมีโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้จำหน่ายหรือผู้ขายจะมีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ครีมที่มีสารปรอท ถือว่าอันตรายมากๆ เพราะนอกจากจะส่งผลต่อผิวทำให้เกิดผิวด่างขาวแล้ว หากรับเข้าไปในร่างกาย สะสมมากๆ จะส่งผลต่อระบบปลายประสาท และเป็นอันตรายต่อไต ทำให้ไตพิการ และเสียชีวิต
ภก.ประพนธ์ กล่าวต่อว่า โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ ยิ่งต้องระวัง เพราะหากใช้ไปจะมีผลต่อทารกในครรภ์ ทำให้พิการได้
ที่มา: khaosod
ความคิดเห็น : ควรเลือกใช้เครื่องสำอางอย่างระมัดระวัง 

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

#สัปดาห์ที่4 : เตือนภัย'ข้าวปนพิษ'ตาย-ทำลายประสาท

            หลังการเผยแพร่ข้อมูลโครงการรับจำนำข้าวว่าใช้สารเคมีจำนวนมหาศาล เพื่อรมควันข้าวที่เก็บไว้ในโกดัง จนสร้างความหวาดผวาให้แก่ผู้บริโภคนั้น กรมการค้าภายในได้สุ่มเก็บตัวอย่างข้าวสารจากโครงการรับจำนำข้าว ที่บรรจุถุงวางจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป รวมถึงห้างค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ เพื่อส่งให้ห้องปฏิบัติการตรวจสอบทางเคมี จากนั้นได้แถลงข่าวว่าไม่มีสารฟอสฟินตกค้างจากการรมควันป้องกันแมลงและมอด!!

             อย่างไรก็ตาม เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคดูเหมือนยังไม่มั่นใจในการพิสูจน์ข้างต้น เนื่องจากไม่ได้ตรวจละเอียดข้าวทุกถุง ยิ่งไปกว่านั้นแม้สารตกค้างจะไม่เกินมาตรฐานที่กำหนด แต่หากกินต่อเนื่องสารเคมีพิษจะค่อยๆ สะสมอยู่ในร่างกายระยะยาว อาจทำให้เกิดมะเร็งตับ ระบบประสาทผิดปกติ ระบบทางเดินหายใจผิดปกติ ฯลฯ

              ผศ.ดร.นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น ผู้ประสานงานเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีเกษตรให้ข้อมูลว่า สารเคมีที่นิยมใช้รมข้าวเพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืชในไทย อยู่มี 3 ชนิด คือ "อลูมิเนียมฟอสไฟด์" (Aluminium Phosphide) "เมทิลโบรไมด์" (Methyl bromide) และ "คลอโรพิคริน"  (Chloropicrin) โดย อลูมิเนียมฟอสไฟด์ หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า "ฟอสฟิน" เป็นสารเคมีใช้ผสมกับอาหารเพื่อฆ่าหนู หรือนำมาใช้รมควันพืชผลทางการเกษตรฆ่าแมลง ฆ่าเชื้อรา และใช้อบรมควันในเรือพาณิชย์ที่ใช้ขนส่งอาหารต่างๆ เป็นหนึ่งในสารเคมีที่มีพิษสูงมาก ทำลายระบบหลอดเลือดและหัวใจและอวัยวะภายใน ทำให้หมดสติหรือเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว เคยให้สัตว์ทดลองสูดดมแล้วตายทันทีถึงร้อยละ 50

    ส่วน "เมทิลโบรไมด์" มีอันตรายไม่น้อยกว่าตัวแรก พิษร้ายทำลายอวัยวะภายใน ปอด หากได้รับปริมาณมาก อาจทำให้เสียชีวิตอย่างรวดเร็ว หรือส่งผลให้ระบบประสาทเสียหายแบบถาวร งานวิชาการชี้ชัดว่าสารเคมีตัวนี้มีฤทธิ์ทำลายสารพันธุกรรมมนุษย์และสัตว์ นักวิจัยสหรัฐอเมริกาทำวิจัยโดยติดตามเกษตรกรและคู่สมรส 7,814 คน ช่วงระหว่างปี 2536-2550 พบว่า ผู้ใช้เมทิลโบรไมด์มีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าคนที่ไม่ได้สัมผัสสารตัวนี้สูงถึง 1.4-3 เท่า ยิ่งใช้มากยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น นอกจากนี้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกยังมีมติให้ยกเลิกใช้สารตัวนี้เพราะทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศส่งผลให้โลกร้อน 
 สำหรับ "คลอโรพิคริน" มีบันทึกว่าเป็นหนึ่งในสารพิษที่เคยใช้เป็นอาวุธเคมีช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 บางครั้งใช้ผสมในแก๊สน้ำตาสำหรับปราบจลาจล ด้วยฤทธิ์ร้ายแรงทำให้สามารถฆ่าแมลงที่มาทำลายผลิตผลเกษตร เมืองไทยนิยมใช้ร่วมกับเมทิลโบรไมด์ สารเคมีตัวนี้จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ทางการหายใจ กิน และดูดซึมเข้าทางผิวหนัง หากใครสัมผัสใกล้ชิดจะปวดแสบดวงตาอย่างมาก บางกรณีกระจกตาลอก ปวดท้อง อาเจียน ท้องร่วง ฯลฯ หากสูดดมเข้าไปแค่เพียง 119 ส่วนในล้านส่วนในเวลา 30 นาที อาจทำให้เสียชีวิตได้จากภาวะปอดบวมน้ำ  ถ้าไม่เสียชีวิตจะมีอาการทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อนานต่อเนื่องหลายสิบวัน

ที่มา: komchadluek
ความคิดเห็น:ถ้าไม่ใส่สารเคมีรมข้าว มอดก็จะเต็มไปหมด ดังนั้นควรซาวหลายๆครั้งเพื่อป้องกันสารเคมี



#สัปดาห์ที่3 : องอาจเตือนกินน้ำพริกแมงดาเจอสารแต่งกลิ่นถึงขั้นชีวิต!


องอาจเตือนกินน้ำพริกแมงดาเจอสารแต่งกลิ่นถึงขั้นชีวิต!
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก ทำเนียบรัฐบาลดุสิตว่า นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. เปิดเผยว่า ได้รับการร้องเรียนสมาพันธ์ชมรมคุ้มครองผู้บริโภค กรุงเทพมหานคร กรณีการนำวัตถุแต่งกลิ่นรสสังเคราะห์กลิ่นแมงดานามาทำนำพริกแมงดา ซึ่งเมื่อรับประทานแล้วมีอาการปวดท้อง และเมื่อสัมผัสโดนผิวหนังเกิดอาการผื่นคัน รวมทั้งหยดลงบนกล่องโฟมแล้วสารเคมีจะทำปฏิกริยาละลายโฟมได้ จึงได้ให้ ศูนย์เฝ้าระวังและพิสูจน์สินค้าอันตราย ตรวจพิสูจน์ข้อเท็จจริงพบว่า วัตถุแต่งกลิ่น รส สังเคราะห์แมงดานาที่จำหน่ายในท้องตลาด เป็นสารเคมีสังเคราะห์ขึ้น เพื่อให้เกิด กลิ่น รส ตามต้องการ

นายองอาจ กล่าวว่า ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายตามท้องตลาด มักแสดงฉลากไม่ครบถ้วนผู้ประกอบการบางรายไม่ระบุส่วนประกอบและปริมาณการใช้ที่ชัดเจน ซึ่งหากผู้บริโภคไม่อ่านฉลาก และไม่ทำความเข้าใจกับวิธีการใช้งานในปริมาณที่เหมาะสมแล้ว จะทำให้ผู้บริโภคได้รับสารเคมีมากเกินกว่ามาตรฐานที่กำหนด ส่งผลให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพได้ เช่น คลื่นไส้ เวียนศรีษะ ปวดท้อง ท้องร่วง เป็นต้น

จากการสำรวจตลาดและการใช้งานวัตถุสังเคราะห์แต่ง กลิ่น รสชาติอาหาร พบว่า มีวางจำหน่ายอยู่ 3 ประเภท ได้แก่
ประเภทที่ 1 วัตถุแต่งกลิ่นรสธรรมชาติ เป็นการนำพืชหรือวัตถุจากธรรมชาติมาสกัด กลิ่น รส โดยวิธีทางกายภาพ เช่น ใบเตย อ้อย ฝักวนิลา ใบตะไคร้หอม มะนาว เป็นต้น
ประเภทที่ 2 วัตถุแต่งกลิ่นรส เลียนธรรมชาติ เป็นการสกัด กลิ่น รส จากพืชหรือวัตถุจากธรรมชาติโดยวิธีทางเคมี ซึ่งผู้บริโภคสังเกตได้จากฉลากจะปรากฏคำว่า ?สารแต่ง กลิ่นรส เลียนธรรมชาติ? เช่น กลิ่นวนิลา กลิ่นนมแมว กลิ่นแอลมอนด์ กลิ่นช้อคโกแลต เป็นต้น
ประเภทที่ 3 วัตถุแต่งกลิ่นรสสังเคราะห์ เป็นการนำสารเคมีมาผสมกันและสังเคราะห์ให้เกิด กลิ่น รส ตามที่ต้องการ เช่น กลิ่นแมงดานา กลิ่นสตรอเบอรรี่ เป็นต้น
นายองอาจ กล่าวว่า จากการศึกษาวัตถุแต่งกลิ่นรสสังเคราะห์ ?กลิ่นแมงดานา? เกิดจากส่วนผสมสารเคมี 4 ชนิด ได้แก่โพรพีลินไกลคอล เอทิลอะซีเตท เฮกซิลอะซีเตท ไดเมทิลซัลไฟด์ ซึ่งสารเคมีบางชนิดอาจออกฤทธิ์เป็นอันตรายเฉียบพลันที่มีผลทำให้หนูตายได้ถึงร้อยละ 50 หากได้รับปริมาณเกิน 3.7 กรัมต่อกิโลกรัม
นายองอาจ กล่าวอีกว่า ตามท้องตลาดผู้ประกอบการอาหารทั่วไป นิยมใช้วัตถุแต่งกลิ่นรสสังเคราะห์จำนวนมาก เพื่อลดต้นทุน อาทิ
1.น้ำมะนาวเทียมหรือกรดมะนาว เกิดจาก น้ำผสมกรดซิตริก โดยไม่มีส่วนผสมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับมะนาวเลย ผู้ประกอบการร้านอาหารนิยมนำมาทำ ส้มตำ ยำ หรือน้ำจิ้มเลิศรสต่างๆ ซึ่งหากรับประทานปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องหรือท้องร่วงได้
2.ผงชูรส โดยมาตรฐานกำหนดการบริโภคไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน ซึ่งหากรับประทานมากเกินไปจะเกิดอาการชาปลายลิ้น ชาปลายนิ้ว แน่นหน้าอก เรียกอาการดังกล่าวว่า การแพ้ผงชูรส หรือโรค Chinese Restaurant Syndrome
ดังนั้น ภายใต้อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ คคบ.ตนจะมอบหมายให้เลขาธิการสคบ.และคณะกรรมการว่าด้วยฉลากไปพิจารณาออกประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการคุ้มครองผู้บริโภคพ.ศ.2522 ที่ว่าด้วยสินค้าที่อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ สุขภาพ ร่างกาย หรือจิตใจ เนื่องในการใช้สินค้า หรือโดยสภาพของสินค้านั้น หรือมีสินค้าที่ประชาชนทั่วไปใช้เป็นประจำ ซึ่งการกำหนดฉลากของสินค้านั้น จะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคในการที่จะทราบข้อเท็จจริง ในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้านั้น แต่สินค้าดังกล่าวไม่เป็นสินค้าควบคุมฉลาก ให้คณะกรรมการว่าด้วยฉลาก มีอำนาจกำหนดให้สินค้านั้นเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก โดยจะเร่งรัดให้มีการออกประกาศให้เป็นสินค้าควบคุมฉลากภายใน 30 วัน หลังจากนั้นหากพบว่ามีการฝ่าฝืน ผู้ผลิต ผู้สั่งหรือนำเข้าเพื่อจำหน่ายในราชอาณาจักร จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีที่เป็นผู้จำหน่ายสินค้าที่ควบคุมฉลากแต่ไม่จัดให้มีฉลากหรือมีฉลากที่ไม่ถูกต้อง มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 50,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นายองอาจ กล่าวว่า สำหรับแนวทางการควบคุมการใช้วัตถุแต่งกลิ่น รส สังเคราะห์นั้น จะกำหนดให้ผู้ผลิตนำเข้าหรือจำหน่าย ต้องจดแจ้งรายละเอียดให้ครบถ้วนต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบได้แก่ ส่วนประกอบหลัก ผลการทดสอบความปลอดภัยและการรับรอง ด้านอาหาร ติดฉลากระบุส่วนประกอบ ปริมาณการใช้ที่เหมาะสม ระบุวันผลิตและหมดอายุ สถานที่ตั้งของผู้ผลิตนำเข้า รวมทั้งคำเตือนต่าง ๆ โดยใช้ตัวอักษรที่สามารถเห็นได้ชัดเจน และเข้าใจได้ง่าย
ความคิดเห็น:ผู้ผลิตควรจะระบุรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ให้ครบถ้วนและไม่ควรใช้สารแต่งกลิ่นจนเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

#สัปดาห์ที่2 : ผวา!เครื่องสำอางแบรนด์ดังเจือปนสารพิษ

เว็บไซต์ของอังกฤษเผยนักวิจัยพบเครื่องสำอางแบรนด์ดังระดับโลก เจือปนสารพิษ ผสมสารตะกั่ว-สารปรอท

                   22 ก.พ.55 เว็บไซต์แท็บลอยด์เดลี่เมล ของอังกฤษ รายงานว่า มีการตั้งข้อสงสัยมานานแล้วเกี่ยวกับระดับของสารพิษที่เจือปนอยู่ในเครื่องสำอาง  ระดับของสารตะกั่วที่อยู่ในลิปสติก ซึ่งการใส่สารเคมีที่อันตรายและโลหะหนักในเครื่องสำอาง ไม่ได้จบแค่ที่ลิปสติกสีจัดจ้านทั้งหลาย จากรายงานองค์กรปกป้องสิ่งแวดล้อม อีแม็กซ์เฮลธ์ ที่มีสำนักงานอยู่ในเมืองออนตาริโอ ของแคนาดา ระบุว่า อายไลเนอร์และคอนซีเลอร์ ซึ่งเป็นเครื่องสำอางชนิดพิเศษที่มีคุณสมบัติอำพรางและปกปิดจุดด่างดำบนใบหน้า ต่างก็มีส่วนผสมของแคดเมียม , แป้งฝุ่นและบลัชออนที่ใช้แต่งแต้มสีสันบริเวณแก้ม ก็มีส่วนผสมของนิเกิล , โลหะหนักอย่างเบริลเลียม ก็พบในอายแชโดว์และมาสคาร่า และที่ร้ายไปกว่านั้น คือในรองพื้นก็มีสารหนูเจือปนอยู่ด้วย
                   ผู้บริโภคไม่มีทางพบส่วนผสมเหล่านี้ มีชื่อบรรจุอยู่ในส่วนผสมของเครื่องสำอาง ที่โชว์อยู่บนแพ็คเกจ แต่จากรายงาน ชื่อ " อันตรายจากโลหะหนัก : ความเสี่ยงต่อสุขภาพจากโลหะหนัก
ที่ซ่อนเร้นอยู่ในเครื่องสำอางบนใบหน้า "  ที่ออกมาเมื่อปี 2554 พบว่า มีโลหะผสมอยู่ในเครื่องสำอางทั่วไปเหมือนกับเป็นส่วนผสมปกติ และยังระบุชื่อเครื่องสำอางแบรนด์ดัง 49 ชนิดที่อยู่ในข่าย รวมทั้งรองพื้นของคลีนิคและมาสคาร่าของลอรีอัลด้วย

                   นักวิจัยของอีแม็กซ์เฮลธ์ ได้วิเคราะห์ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเพื่อหาสารต่างๆที่ถูกห้ามผสมในเครื่องสำอางที่จำหน่ายในแคนาดา ในเว็บไซท์อีแม็กซ์เฮลธ์ ระบุว่า พบสารพิษทุกชนิดอยู่ชนิดเจือปนอยู่ตามเครื่องสำอางประเภทต่างๆ แต่สารปรอทพบในเครื่องสำอางทุกชนิด
                   อีแม็กซ์เฮลธ์ ระบุด้วยว่า ผลิตภัณธ์แต่ละชนิด จะมีสารพิษที่น่าวิตกเจือปนเฉลี่ย 4 ชนิด แต่ไม่เคยมีการระบุชื่อของโลหะหนักอยู่บนแพ็คเกจให้เห็น เนื่องจากถูกพิจารณาว่าเป็นสารที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่ได้มีเจตนาเพิ่มเติมลงไป แต่การมีอยู่เป็นเพียงผลพลอยได้
                 ผลกระทบจากการได้รับสารพิษ ในกรณีที่ถูกดูดซับผ่านผิวหนัง อาจส่งผลต่อสุขภาพหลายอย่าง รวมทั้งรบกวนการทำงานของฮอร์โมน , ก่อให้เกิดมะเร็ง , ปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท , สูญเสียความทรงจำ , อารมณ์ไม่คงที่ ,ปัญหาเกี่ยวกับไต , ปวดศีรษะอาจเจียน , ท่องร่วง , ปอดถูกทำลาย , โรคผิวหนัง และผมร่วง
                   ได้มีการรณรงค์ที่มีชื่อว่า แคมเปญ ฟอร์ เซฟ คอสเมติกส์ เพื่อเรียกร้องให้บริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอาง แก้ไขสูตรการผลิตเสียใหม่ และให้ระบุส่วนผสมให้ชัดเจน รายงานของสำนักงานบริหารอาหารและยาของสหรัฐ ที่ออกมาเมื่อไม่นานมานี้ ระบุว่า มีสารตะกั่วเจือปนอยู่ในลิปสติกถึง 400 ยี่ห้อ รวมทั้งแบรนด์ดังอย่าง เมย์เบลลีน และลอรีอัล
ความคิดเห็น:บริษัทผู้ผลิตเครื่องสำอางควรแก้ไขสูตรการผลิตเพราะสูตรการผลิตตอนนี้อันตรายต่อผู้ใช้เป็นอย่างมาก และผู้ใช้ควรลดปริมาณการใช้เครื่องสำอางลงด้วยเช่นกัน

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

#สัปดาห์ที่1 :โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ชี้แจง เหตุสารเคมีรั่วไหลไม่ใช่ “ไซยาไนด์”


การไฟฟ้าแม่เมาะแจงเหตุสารเคมีรั่วไหล คือ กรดไฮโดรคลอริก  เมื่อถูกน้ำจะเกิดเป็นไอมีกลิ่นฉุน ตามมาตรการด้านความปลอดภัย จึงให้พนักงานที่ปฏิบัติงานออกไปอยู่ในที่ปลอดภัย
นายศานิต นิยมาคม ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์การ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ชี้แจงถึงกรณีที่ช่วงเช้าวันที่ 6 พฤษภาคม มีกระแสข่าวว่า เกิดเหตุสารไซยาไนด์รั่วภายในบริเวณสถานที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าแม่เมาะทดแทน เครื่องที่ 4-7 และมีการอพยพคนงานออกจากพื้นที่ดังกล่าว โดยกฟผ. ขอเรียนชี้แจงข้อเท็จจริงว่า สารเคมีดังกล่าวไม่ใช่สารไซยาไนด์
ทั้งนี้ ภายหลังเกิดเหตุสารเคมีที่ใช้ปรับสภาพน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตไฟฟ้ามีการรั่วซึม ได้ดำเนินการตามมาตรการความปลอดภัยเร่งด่วนจนสถานการณ์คลี่คลายกลับเข้าสู่สภาวะปกติเรียบร้อย เจ้าหน้าที่และคนงานกลับเข้าไปปฏิบัติงานได้ตามปกติ พร้อมยืนยันว่าไม่มีผู้ได้รับอันตรายจากเหตุการณ์ดังกล่าว
ความคิดเห็น :โรงงานควรเร่งจัดการปัญหาสารเคมีรั่วไหลให้เร็วที่สุด และไม่ควรเหตุการณ์นี้ไม่ควรเกิดขึ้น